รู้ทัน…อันตรายจากการนอนกรนของลูกน้อย

อาการนอนกรนในเด็กเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ และหากลูกนอนกรนมากอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้ามอาการนอนกรนของลูกค่ะ เพราะจะส่งผลต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของลูก ในการรักษาอาการนอนกรน แบบเบื้องต้นมาฝากกัน แต่หากอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบพาลูกไปพบแพทย์ค่ะ
อาการที่บ่งบอกว่าอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และควรไปพบแพทย์
- นอนกรนอ้าปาก หายใจเสียงดัง เป็นประจำ
- นอนกระสับกระส่าย ดิ้น หลับไม่สนิท สลับกับหายใจดังเฮือก ๆ หรือต้องลุกนั่งเพราะหายใจไม่ออก
- หยุดหายใจเป็นพัก ๆ 5-10 วินาที แล้วตื่นหรือพลิกตัวเปลี่ยนท่า
- คัดจมูกเป็นประจำต้องอ้าปากหายใจบ่อย ๆ
- ปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ
- พฤติกรรมซุกซนก้าวร้าว ผลการเรียนแย่ลง
- เติบโตช้ากว่าวัย
สาเหตุของอาการนอนกรนในเด็ก
- มีต่อมทอนซิลโต และหรือต่อมอะดีนอยด์ ซึ่งเป็นต่อมน้ำเหลืองอยู่ด้านหลังของโพรงจมูกโต เป็นสาเหตุที่พบบ่อย และสำคัญที่สุดในเด็ก หากมีการอักเสบ เด็กจะมีอาการน้ำมูกไหลเรื้อรัง ชอบสูดน้ำมูกลงคอบ่อย ๆ หรือมีเสมหะ ครืดคราดในคอ เจ็บคอบ่อย อาจมีพูดไม่ชัด เสียงอู้อี้ได้
- ภาวะจมูกบวมอักเสบเรื้อรังจากภูมิแพ้ หรือไซนัสอักเสบ
- ภาวะอ้วน เด็กจะมีผนังคอหนาขึ้น ทำให้ช่องคอแคบ
- โครงหน้าผิดปกติ เช่น หน้าแคบ คางสั้นหรือเล็ก
- โรคทางพันธุกรรม หรือโรคทางสมองและกล้ามเนื้อที่มีผลต่อการหายใจ
การรักษาอาการนอนกรน
การดูแลปฏิบัติเบื้องต้น ได้แก่ การปรับสุขอนามัยการนอน เช่น นอนพักผ่อนให้พอเพียง การเข้านอนและตื่นนอนอย่างตรงเวลาสม่ำเสมอ ในรายที่อ้วนต้องลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย
การรักษาด้วยยา เช่น การให้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก หรือยารักษาอาการจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ยาละลายเสมหะ น้ำเกลือล้างจมูก หรือยาปฏิชีวนะหากมีภาวะติดเชื้อ
การรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน หู คอ จมูก เมื่อมีข้อบ่งชี้
การรักษาอื่น ๆ เช่น การรักษาโรครั่ว การใช้เครื่อง CPAP ตลอดจนการจัดฟัน ซึ่งอาจเป็นทางเลือกกรณีรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล ซึ่งต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไป
Photo credit: mamymedia.com
